สาขาสีลม
30/8 ถนนศาลาแดง แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
สาขาสุขุมวิท
อาคารไทมส์สแควร์ ชั้น G. 246 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
“หน้าเป็นฝ้า” ไม่ใช่แค่ปัญหาผิวที่ทำให้หลายคนหมดความมั่นใจ แต่ยังเป็นสัญญาณของการทำงานผิดปกติของเม็ดสีผิวที่ซับซ้อนมากกว่าที่คิด บางคนแม้จะดูแลผิวอย่างดี แต่กลับพบว่าใบหน้ายังค่อย ๆ หมองลง ฝ้าค่อย ๆ ชัดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจเกิดจากทั้งแสงแดด ฮอร์โมน หรือแม้แต่การใช้เครื่องสำอางผิดวิธี การทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาจึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการดูแลรักษาให้ถูกทาง
ฝ้า (Melasma/ Sun Damage) คือ เกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไปในชั้นผิวหนัง ผิวด้านนอกจึงเป็นปื้นสีน้ำตาล หรือเป็นสีเทา โดยเฉพาะบริเวณที่โดนแสงแดด เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก และจมูก ส่วนใหญ่คนที่หน้าเป็นฝ้าพบในคนที่อายุ 25-55 ปี ฝ้าเป็นปัญหาผิวหนังที่พบได้บ่อยมากโดยเฉพาะในคนเอเชีย (ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย) เป็นปัญหาที่ท้าทายความสามารถของแพทย์ผิวหนังทั่วโลก เนื่องจากรักษาให้หายขาดทำได้ยากมาก ในปัจจุบันมีวิธีรักษาฝ้าที่หลากหลายวิธี จนทำให้หลายคนเกิดความสับสน ทั้งครีมลอกฝ้า การกรอผิว การใช้กรดผลไม้ผลัดเซลล์ผิว และเลเซอร์ฝ้าก็มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด จึงทำให้บางคนเลือกวิธีการรักษาฝ้า ที่ไม่เหมาะสมกับฝ้าที่เป็นอยู่
1. ผิวได้รับแสงแดดโดยตรง การได้รับแสง UVA และ UVB โดยตรงหรือบ่อยครั้ง ทำให้เม็ดสีเมลานินใต้ผิวหนังได้รับการกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น และแสงแดดกระตุ้นให้ผิวเกิดการกระบวนการอักเสบ ผิวจึงเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น กระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้น
2. ฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง เมื่อร่างกายมีฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มากเกินไป เช่น การหลั่งฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์ หรือการหลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตซึ่งทำให้การสร้างเม็ดสี (Melanocytes) ใต้ชั้นผิวหนังผลิตเม็ดสี (Melanin) ออกสู่ผิวหนังไม่สม่ำเสมอ จึงมีการกระตุ้นสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ กระตุ้นให้เกิดฝ้าเข้มขึ้นกว่าเดิม
3. ฝ้าจากความเครียด โดยเมื่อเราทำงานหนัก พักผ่อนไม่เพียงพอจะมี ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมองทำให้ฝ้าดูชัดขึ้น เราจะเห็นว่าผิวหน้าดูดำคล้ำขึ้น ทำให้ฮอร์โมนเสียความสมดุล สังเกตง่ายๆ เมื่อไหร่ที่ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือเรานอนน้อย หน้าเราก็จะดูคล้ำขึ้นนั่นเอง
4. ฝ้าจากเครื่องสำอาง เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ครีมหน้าใส ที่เห็นผลรวดเร็ว โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้ มีสารเคมีที่เป็นอันตรายกับผิว เช่น สารกันบูด หรือสารปรอท ตะกั่ว เป็นสารที่ทำให้เกิดการกระตุ้นฝ้าได้ง่าย จะเห็นว่าตอนแรกทาไปหน้าจะใสและเรียบเนียนได้อย่างรวดเร็ว พอทานานๆ เข้า หน้าจะเริ่มเป็นคนแพ้ง่าย แต่พอจะหยุดใช้ ก็หยุดไม่ได้ กลับทำให้สิวเห่อ หน้าฝ้าหนาเข้มขึ้นกว่าเดิม สภาพผิวจะอ่อนแอลง และมีเส้นเลือดฝอยขึ้น หน้าแดง สุดท้ายจะเห็นว่าผิวมีฝ้าขึ้น ทาครีมเท่าไหร่ฝ้าก็ไม่จางลง รวมทั้งการใช้เครื่องสำอางที่ผสมน้ำหอมหรือเครื่องสำอางที่มีสี มีการตกค้างใต้ผิวหนัง ทำให้ดูเหมือนมีสีน้ำตาลเข้มเป็นจุดๆ เมื่อสะสมมากขึ้น จึงเกิดเป็นฝ้าได้
5. ฝ้าเข้มจากเลเซอร์ เนื่องจากเลเซอร์บางชนิดมีโอกาสทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้ถ้าหยุดทำ ซึ่งลักษณะคล้ายๆ กับฝ้าจากเครื่องสำอาง คือ จางลงในช่วงแรกหลังจากนั้นจะเข้มขึ้น ฝ้าชนิดนี้ก็จะรักษายากกว่าฝ้าฮอร์โมนและฝ้าแดด แนะนำให้ศึกษาข้อมูลหลักการทำงานของเครื่องเลเซอร์ รวมถึงแพทย์ที่ใช้เลเซอร์ในการรักษาฝ้าให้ดี ก่อนตัดสินใจรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์
A: ฝ้าเกิดจากหลายสาเหตุ และแต่ละคนก็มีปัจจัยอื่นๆ ร่วมกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การได้รับแสงแดดสะสม พันธุกรรม ความเครียด หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิว แต่หากได้รับการดูแลที่เหมาะสมกับสภาพผิวและเม็ดสีฝ้า ฝ้าที่เป็นอยู่ก็สามารถจางลงได้
A: เมื่อสังเกตว่าผิวเริ่มมีรอยคล้ำเป็นฟื้น หรือมีฝ้าปรากฏชัดตั้งแต่ที่เพิ่งเริ่มเป็น ก็สามารถเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินผิวและแนวทางที่เหมาะสม โดยยิ่งเริ่มดูแลรักษาฝ้าเร็ว ก็มีโอกาสดูแลได้ง่ายขึ้น
การรักษาอาการ “หน้าเป็นฝ้า” อย่างได้ผล ไม่ควรพึ่งเพียงการทาครีมทั่วไป แต่ต้องเริ่มจากการวิเคราะห์สาเหตุเชิงลึกเฉพาะบุคคล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฮอร์โมน พฤติกรรมการใช้ชีวิต หรือความไวต่อแสงของผิว การดูแลอย่างถูกวิธีควบคู่กับการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ที่เหมาะสมในคลินิกที่เข้าใจผิวฝ้าโดยเฉพาะ จะช่วยให้ผิวค่อย ๆ กลับมาเนียนใส แข็งแรง และลดโอกาสที่ฝ้าจะกลับมาอีกในระยะยาว
30/8 ถนนศาลาแดง แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500
อาคารไทมส์สแควร์ ชั้น G. 246 ถ.สุขุมวิท แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
© 2022 all rights reserved